เศรษฐกิจไทย เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่
มีการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมีมูลค่าการส่งออกคิดเป็นสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
ล่าสุด ไทยมีอัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 8.0% ใน พ.ศ. 2553 สูงกว่าตัวเลขของรัฐบาลชุดก่อน
ๆ 5-7 คณะ
ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจโตเร็วที่สุดในเอเชียและเป็นประเทศที่เศรษฐกิจโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศไทยมีจีดีพีทั้งสิ้น 9.5 ล้านล้านบาท (ตามความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) หรือ 584,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นลำดับที่ 24 ของโลก
นับว่าไทยมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอันดับที่ 2 รองจากอินโดนีเซีย แต่ประเทศไทยยังถูกจัดว่ามีการกระจายความมั่งคั่งอยู่ในระดับกลาง
ๆ โดยเป็นประเทศที่มีจีดีพีต่อหัวสูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามหลังสิงคโปร์ บรูไนและมาเลเซีย ประเทศไทยมีผลผลิตทางเศรษฐกิจมูลค่าปัจจุบัน
(nominal economic output) เมื่อเดือนมิถุนายน
พ.ศ. 2553 ที่ 313,800 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ขณะที่ถือครองสินทรัพย์ในรูปเงินตราต่างประเทศเป็นมูลค่า 172,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก
ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมรถยนต์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเติบโต 63% ใน
พ.ศ. 2553 โดยมีรถถูกผลิต 1.6 ล้านคัน
คิดเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของโลก ผู้เชี่ยวชาญพยากรณ์ว่า ภายใน พ.ศ. 2558 ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในสิบประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก
เศรษฐกิจไทยเป็นเสมือนเศรษฐกิจผูกติด (anchor economy) ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อนบ้าน
คือ ลาว พม่าและกัมพูชา การฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ขึ้นอยู่กับการส่งออกเป็นหลัก
ท่ามกลางปัจจัยอื่นอีกหลายประการ
ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมส่งออกยานยนต์และผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
รายได้จากการท่องเที่ยวกำลังเพิ่มขึ้นและคิดเป็น 6%
ของจีดีพี
ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศและมีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูง
ระดับการว่างงานใน พ.ศ. 2553 อยู่ที่ 1.2%
และมีการประเมินว่าจะลดลงเหลือ 1% ภายใน พ.ศ. 2555
จึงทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในโลก
การเติบโตทางเศรษฐกิจหลายทศวรรษลดความยากจนในประเทศ
และไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราความยากจนต่ำที่สุดในเอเชีย ใน พ.ศ. 2553
ไทย ร่วมกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน บรูไนและมาเลเซีย
เป็นประเทศในเอเชียที่มีประชากรทั้งประเทศน้อยกว่า 2%
ดำรงชีพอยู่ด้วยเงินน้อยกว่า 1.25 ดอลล่าร์สหรัฐต่อวัน
เนื่องจากราคาน้ำมันและอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อประจำปี พ.ศ. 2553
จึงแตะระดับ 3.5% ในเดือนกรกฎาคม
แต่ไม่คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะสูงขึ้นอีก เพราะราคาอาหารและน้ำมันเริ่มเสถียร
และประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศและการลงทุนสูง
ประวัติ
เดิมประเทศไทยเคยเป็นเสือเศรษฐกิจโดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 10.4% ต่อปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2528 ถึง 2539 สมัยนายกรัฐมนตรี เปรม ติณสูลานนท์ ระหว่าง พ.ศ. 2523 ถึง 2531 เปิดเศรษฐกิจไทยสู่การค้าระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ประชากรหลายล้านคนตกงานและยากไร้ และไม่จนกระทั่ง พ.ศ. 2544 ที่ประเทศไทยสามารถควบคุมค่าเงินและเศรษฐกิจได้อีกครั้งหนึ่ง
นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ทักษิณ ชินวัตร รับตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์
พ.ศ. 2544 ด้วยเจตนาจะเพิ่มกิจกรรมภายในประเทศและลดการพึ่งพาการค้าและการลงทุนต่างประเทศ
นับแต่นั้น การบริหารประเทศเป็นไปตามนโยบายเศรษฐกิจ "รางคู่" (dual
track) ซึ่งรวมกิจกรรมภายในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นกับการสนับสนุนตลาดเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศของไทย
นโยบายดังกล่าวเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่า ทักษิโณมิค อุปสงค์การส่งออกที่อ่อนทำให้อัตราเติบโตของจีดีพีใน
พ.ศ. 2544 อยู่ที่ 2.2% แต่ในสามปีต่อมา กิจกรรมภายในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นและการฟื้นฟูการส่งออกทำให้สมรรถนะของประเทศกลับคืนอีกครั้ง
โดยมีอัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 5.3%, 7.1% และ 6.3%
ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2548 จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและการขาดดุลการค้า
ภัยแล้งและอุทกภัยรุนแรง ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้รุนแรงขึ้นถึงที่สุด อนาคตที่ไม่แน่นอนของรัฐบาลทักษิณ
และผลกระทบด้านการท่องเที่ยวจากแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย
พ.ศ. 2547 ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเหลือ 4.5%
ใน พ.ศ. 2548 ประเทศไทยยังมีบัญชีเดินสะพัดขาดดุลอยู่ที่
-4.3% ของจีดีพี หรือ -7,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
นับแต่ พ.ศ. 2549 ประเทศไทยมีบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอีกครั้ง
และเศรษฐกิจลอยตัวขึ้นจากการเติบโตในภาคส่งออก อย่างไรก็ตาม รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งถอดทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง รักษาการนายกรัฐมนตรี
สร้างความไม่มั่นใจ
อุตสาหกรรม
เกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง
ในปี พ.ศ. 2551 เกษตรกรรม
การป่าไม้และการประมงสร้างรายได้ให้กับประเทศคิดเป็นเพียง 8.4% ของจีดีพี
ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นผู้ส่งออกกุ้งหลัก
พืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ได้แก่ มะพร้าว ข้าวโพด ยางพารา ถั่วเหลือง อ้อยและมันสำปะหลัง
ในปี พ.ศ. 2528 ประเทศไทยได้กำหนดให้พื้นที่ของประเทศ
25% เป็นป่าเพื่อการอนุรักษ์และอีก 15% เพื่อการผลิตไม้อย่างเป็นทางการ
ป่าเพื่อการอนุรักษ์ถูกจัดตั้งสำหรับการรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและการพักผ่อน
ในขณะที่ป่าเพื่อการผลิตเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมป่าไม้สามารถใช้ประโยชน์ได้ ระหว่าง
พ.ศ. 2535 และ 2544 การส่งออกท่อนซุงและไม้แปรรูปเพิ่มขึ้นจาก
50,000 ลูกบาศก์เมตรเป็น 2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
การระบาดของไข้หวัดนกในประเทศทำให้ภาคเกษตรกรรมหดตัวระหว่างปี
พ.ศ. 2547 ประกอบกับคลื่นสึนามิซึ่งถล่มภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันหลังจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 ได้สร้างความเสียหายแก่อุตสาหกรรมประมงในพื้นที่เป็นจำนวนมาก
ในปี พ.ศ. 2548-2549 ภาคเกษตรกรรมมีจีดีพีลดลงถึง
10%
การทำเหมืองแร่
แร่ธาตุหลักที่พบในประเทศไทย รวมไปถึง ฟลูออไรต์ ยิปซัม ตะกั่ว ลิกไนต์ ก๊าซธรรมชาติ แทนทาลัม ดีบุกและทังสเตน อุตสาหกรรมเหมืองดีบุกได้ลดลงอย่างรุนแรงหลังจาก พ.ศ. 2528 ประเทศไทยจึงกลายมาเป็นประเทศผู้นำเข้าดีบุกตั้งแต่นั้นมา ในปี พ.ศ. 2551
แร่ธาตุที่ประเทศไทยส่งออกมากที่สุด คือ ยิปซัม
ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกยิปซัมรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากแคนาดา ถึงแม้ว่านโยบายของรัฐบาลจะจำกัดการส่งออกยิปซัมเพื่อป้องกันการตัดราคาก็ตาม
ในปี พ.ศ. 2546 ประเทศไทยมีผลผลิตแร่ธาตุมากกว่า 40 ชนิด ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศปีละประมาณ 740 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม มากกว่า 80% ของแร่ธาตุนี้บริโภคภายในประเทศ
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2546 เพื่อที่จะกระตุ้นการลงทุนของต่างชาติในอุตสาหกรรมเหมืองแร่
รัฐบาลได้ผ่อนปรนข้อจำกัดอันเข้มงวดในการทำเหมืองโดยบริษัทต่างชาติ
อุตสาหกรรมและการผลิต
ในปี พ.ศ. 2550 อุตสาหกรรมสร้างรายได้ถึง 43.9%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ แต่มีแรงงานทำงานอยู่เพียง 14%
ของแรงงานทั้งหมด สัดส่วนดังกล่าวตรงกันข้ามกับสัดส่วนของภาคเกษตรกรรม
อุตสาหกรรมในประเทศมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 3.4% ต่อปีระหว่าง
พ.ศ. 2538-2548 ภาคย่อยที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม คือ การผลิต
ซึ่งสร้างรายได้คิดเป็น 34.5% ของจีดีพี ในปี พ.ศ. 2547
ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในตลาดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ในปี พ.ศ. 2547 ประมาณการผลิตรถยนต์แตะระดับที่ 930,000
คัน มากกว่าสองเท่าของประมาณการผลิตในปี พ.ศ. 2544 ค่ายผู้ผลิตรถยนต์หลักที่ดำเนินการในประเทศ ได้แก่ โตโยต้าและฟอร์ด
การขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ทำให้ปริมาณการผลิตเหล็กกล้าในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยเผชิญกับการแข่งขันจากมาเลเซียและสิงคโปร์
ในขณะที่อุตสาหกรรมสิ่งทอเผชิญการแข่งขันจากจีนและเวียดนาม
พลังงาน
ในปี พ.ศ. 2547 ปริมาณการบริโภคพลังงานทั้งหมดของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ
3,400 ล้านล้านบีทียู ซึ่งคิดเป็นราว 0.7% ของปริมาณการบริโภคพลังงานของทั้งโลก
ประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายสำคัญ
แต่รัฐบาลกำลังสนับสนุนการใช้เอธานอลเพื่อลดการนำเข้าปิโตรเลียมและสารเติมแต่งน้ำมัน
เมทิล เทอร์เทียรี บิวทิล อีเธอร์ (MTBE)
ในปี พ.ศ. 2548 ปริมาณการใช้น้ำมันต่อวันอยู่ที่
133,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
เกินกว่าปริมาณการผลิตภายในประเทศที่ 48,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
โรงกลั่นน้ำมันสี่แห่งของไทยมีความสามารถทำงานได้ 111,780 ลิตรต่อวัน
รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและการขนส่งน้ำมันในภูมิภาค
รองรับความต้องการของจีนตอนกลางและตอนใต้ ในปี พ.ศ. 2547 ปริมาณการบริโภคก๊าซธรรมชาติอยู่ที่
2.99 × 1010 ลูกบาศก์เมตร
เกินกว่าปริมาณการผลิตภายในประเทศที่ 2.2 × 1010 ลูกบาศก์เมตร
ในปี พ.ศ. 2547 อีกเช่นกัน
ปริมาณการบริโภคถ่านหินที่ประมาณกันไว้อยู่ที่ 30.4 ล้านตันขนาดเล็ก
เกินกว่าปริมาณการผลิตภายในประเทศที่ 22.1 ล้านตันขนาดเล็ก
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2550 ปริมาณน้ำมันสำรองที่มีการพิสูจน์อยู่ที่
46 ล้านลูกบาศก์เมตร และปริมาณแก๊สธรรมชาติสำรองอยู่ที่ 420
ลูกบาศก์กิโลกรัม ในปี พ.ศ. 2546 ปริมาณถ่านหินสำรองหมุนเวียอยู่ที่
1,492.5 ล้านตันขนาดเล็ก
ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยบริโภคไฟฟ้าอย่างน้อย
117,700 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง การบริโภคไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 4.7%
ในปี พ.ศ. 2549 เป็น 133,000 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง
บริการ
ในปี พ.ศ. 2550 ภาคบริการ
ซึ่งมีขอบเขตตั้งแต่การท่องเที่ยวไปจนถึงธนาคารและการเงิน สร้างมูลค่าคิดเป็น 44.7%
ของจีดีพีและมีสัดส่วน 37% ของกำลังแรงงาน
การท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวทำรายได้ให้กับประเทศเป็นสัดส่วนสูงกว่าประเทศอื่นใดในทวีปเอเชีย
(ราว 6% ของจีดีพี)
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมายังประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ ส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวตามชายหาดและพักผ่อน
ถึงแม้ว่าจะมีความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตาม
กรุงเทพมหานครมีการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เช่นเดียวกัน
การเพิ่มขึ้นอย่างมากของนักท่องเที่ยวจากชาติในทวีปเอเชียด้วยกันได้สร้างรายได้อย่างมากให้กับประเทศไทย
ถึงแม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย ในปี
พ.ศ. 2550 นักท่องเที่ยวราว 14 ล้านคนเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมเพศที่กำลังเฟื่องฟู อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลไทยยังคงละเลยต่อสิทธิของกลุ่มผู้ขายบริการทางเพศภายใต้กฎหมายแรงงานในความผิดทางอาญาของกลุ่มผู้ขายบริการ
ทำให้ราชการคอร์รัปชั่นและพนักงานของรัฐเอาเปรียบกลุ่มผู้ขายบริการเหล่านี้กฤติสินเชื่อซับไพรม์ที่กำลังฟื้นตัว
การกลับมาเติบโตของเศรษฐกิจจีน วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศ และการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีผลกระทบน้อยกว่าที่กังวลล่วงหน้า
ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของการท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2553 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง
16% ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2552 แต่ในช่วงสี่เดือนสุดท้ายของปี
นักท่องเที่ยวต่างประเทศได้กลับมาจนทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม
ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศของ พ.ศ. 2552 จึงอยู่ที่ 14
ล้านคน ลดลงเพียง 4% เมื่อเทียบกับตัวเลขของปี
พ.ศ. 2551
เขตเศรษฐกิจพิเศษ
เขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
พ.ศ. .... โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ทุนสำรองระหว่างประเทศ
ประเทศไทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศถือทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ
ณ วันที่ 8 เมษายน 2554 มูลค่ารวมทั้งสิ้น
5,313 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว3% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ
หนี้สาธารณะ
ตามพระราชบัญญํติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 อนุญาตให้กระทรวงการคลังกู้เงินมาใช้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ
20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
กับอีกร้อยละ 80 ของรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ในแต่ละปี
สำหรับการก่อหนี้ภายในประเทศ
รัฐบาลกู้เงินระยะยาวครั้งแรกใน พ.ศ. 2476 โดยออกพันธมิตรจำนวน 10 ล้านบาท
และก่อเงินระยะสั้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2488 ส่วนการก่อหนี้ต่างประเทศ
เกิดขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2448 โดยรัฐบาลได้ขายพันธบัตรมูลค่า
1 ล้านปอนด์ กำหนดไถ่ถอนภายใน 40 ปี
นับเป็นการเปลี่ยนแนวคิดด้านนโยบายการคลังจากที่เคยใช้จ่ายเฉพาะรายได้จากภาษีอากรมารวมรายได้จากเงินกู้ด้วย
สิงหาคม พ.ศ. 2554 ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานประเมินหนี้สาธารณะของไทย
พบว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 44%
ของจีดีพี ในปีงบประมาณ 2554 เป็น 60% ของจีดีพี ในปีงบประมาณ 2556 และจะเริ่มมีหนี้สาธารณะสูงกว่ากรอบวินัยการคลังในปีงบประมาณ
2557 กระทั่งมีหนี้สาธารณะ 70% ของจีดีพี
ในปีงบประมาณ 2559 ทั้งนี้
เพราะรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีภาระด้านการคลังเพิ่มขึ้น
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยประเมิน 4 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ว่าอาจต้องใช้เงินสูงถึง 442,000 ล้านบาท หรือ 20% ของงบประมาณภาครัฐ
นอกจากนี้
การพิจารณาโครงสร้างรายรับ-รายจ่ายและงบประมาณภาครัฐ พบว่า
งบประมาณรายจ่ายของประเทศระหว่าง พ.ศ. 2550 ถึง 2554 เพิ่มขึ้น 8.8% ของจีดีพี
ขณะที่งบประมาณรายรับในช่วงเดียวกันเพิ่มขึ้นเพียง 4.2% ของจีดีพี
ที่มา : http://th.wikipedia.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น